วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

หุ้นสถาบันการเงิน

หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินที่ผมจะพูดถึงนั้น ผมรวมถึงกลุ่มต่อไปนี้คือ 
1) กลุ่มที่เป็นธนาคารพาณิชย์
2) กลุ่มที่ทำธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง ซึ่งก็คือบริษัทที่ปล่อยกู้ให้กับลูกค้าเพื่อซื้อสินค้าเงินผ่อนทั้งหลาย
3) กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
4) กลุ่มบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต 
ทั้งหมดนี้ผมแทบไม่ได้ซื้อหุ้นเพื่อลงทุนเลยในระยะสิบปีที่ผ่านมาเพราะผมเห็นว่าหุ้นในกลุ่มเหล่านี้มีความเสี่ยงที่ผมไม่ใคร่สบายใจนักที่จะลงทุนระยะยาว  และต่อไปนี้คือความคิดของผม
ก่อนที่จะพูดถึงความเสี่ยงผมอยากจะบอกว่า ที่จริงหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินนั้นส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่ดีน่าประทับใจ ถ้าดูจากกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็จะเห็นว่าหุ้นเหล่านี้มีผลกำไรอยู่ในเกณฑ์ที่สูงลิ่วเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นๆในตลาดหลักทรัพย์ และเมื่อมองดูถึงความสม่ำเสมอของกำไรก็เห็นว่าบริษัทเหล่านั้นทำได้ค่อนข้างดีพอจะบอกได้ว่าเป็นผลประกอบการที่สามารถคาดการณ์ได้ ประกอบกับการที่บริษัทเหล่านี้มีลูกค้าเป็นล้านๆคน ดังนั้นความผันผวนของรายได้ก็มักจะมีน้อย ข้อสรุปก็คือ โดยทั่วไปแล้วเราสามารถหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการได้ไม่ยากนักเทียบกับกิจการอื่นๆอีกหลายอย่าง พูดง่ายๆ สามารถใช้ค่า PE และ/หรือ PB มาวัดค่าความถูก/แพงของหุ้นได้
ข้อดีของหุ้นสถาบันการเงินอีกอย่างหนึ่งก็คือ ส่วนใหญ่แล้วบริษัทเหล่านั้นมีกฎหมายและหน่วยงานของรัฐควบคุมอย่างเข้มงวด ดังนั้นข้อมูลต่างๆของบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีการเงินนั้นค่อนข้างที่จะเชื่อถือได้ เช่นเดียวกันผู้บริหารไม่สามารถนำเงินไป ถลุงในกิจการอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องได้ง่ายนัก อีกเรื่องหนึ่งก็คือ นโยบายจ่ายปันผลก็มักจะดีเหตุเพราะว่าบริษัทเหล่านี้มีเงินสดเหลือเฟือที่จะจ่ายปันผล และที่น่าสนใจสุดยอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หุ้นเหล่านี้จำนวนมากมีค่า PE และ PB ไม่สูง บางบริษัทต่ำมาก ดูไปแล้วน่าจะเป็นหุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้น “Value” ที่น่าซื้อลงทุนระยะยาว แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจนักที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินก็คือ
ประการแรก หุ้นสถาบันการเงินยกเว้นบริษัทหลักทรัพย์นั้น มีการกู้หรือรับฝากเงินจำนวนมาก อัตราการกู้ยืมในกรณีธนาคารพาณิชย์นั้นสูงมาก อาจจะเป็นเกือบสิบเท่าของเงินในส่วนของผู้ถือหุ้น การกู้มากนั้นเป็นความเสี่ยงมหาศาล เพราะถ้าเงินที่กู้มาและนำไปปล่อยกู้หรือลงทุนต่อเกิดเสียหายกลายเป็น NPL หรือหนี้สูญเพียงแค่ 10% แบงค์นั้นก็หมดทุนหรือล้มแล้ว จริงอยู่ที่ว่าอัตราการเกิด NPL ของแบงค์ในภาวะปกตินั้นมักจะมีน้อยมาก อาจจะเพียง 1-2% และแบงค์ก็มักจะมีการกันสำรองหนี้สูญทุกปีจนเพียงพอหรือเกินพอ แต่นั่นก็คือสภาวการณ์ “ปกติ” แต่ในสถานการณ์ “วิกฤติเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540 ลูกหนี้ของแบงค์ต่างก็ ล้มละลายเป็นลูกโซ่ และแบงค์เกือบทั้งหมดแทบเอาตัวไม่รอด หลายแห่งก็ล้มลงไป และนี่ก็คือความเสี่ยงของหุ้นแบงค์
หุ้นของบริษัทลีสซิ่งและบริษัทที่ให้กู้สำหรับซื้อสินค้าเงินผ่อนนั้น ส่วนใหญ่ก็มีการกู้เงินไม่ต่ำกว่า 4-5 เท่าของเงินทุนของตนเอง การปล่อยกู้ให้กับลูกค้านั้น บริษัทมักจะคิดดอกเบี้ยสูงกว่าแบงค์มากเพราะเป็นการปล่อยกู้ให้กับคนที่มีรายได้น้อยหรือคนที่ยังไม่มีกำลังที่จะซื้อสินค้าราคาสูงเช่นรถยนต์แต่อยากได้สินค้ามาใช้ก่อน ดังนั้นโอกาสที่ลูกหนี้จะกลายเป็นหนี้เสียก็จะสูงกว่ากรณีของแบงค์ ในกรณีที่เศรษฐกิจโดยทั่วไปดีอัตราหนี้เสียก็มักจะไม่สูงนักทำให้ผลประกอบการของบริษัทดี แต่ในบางช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี อาจจะเป็นเพราะพืชผลทางการเกษตรมีราคาตกต่ำ NPL ก็จะเกิดขึ้นจำนวนมาก ผลก็คือบริษัทอาจจะขาดทุนหนัก บางแห่งอาจจะไปไม่รอด นอกจากนั้น เนื่องจากการที่บริษัทในกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกถือว่าเป็นสถาบันการเงินที่มีการรับเงินฝากจากประชาชน การควบคุมจากทางการก็มีน้อย ดังนั้นการบริหารงานภายในบริษัทก็อาจจะหละหลวมหรือมีการทุจริตได้ง่าย นี่ก็เป็นความเสี่ยงในด้านการบริหารงานที่เพิ่มขึ้นมาจากเรื่องของภาวะทางเศรษฐกิจ
ข้อสรุปสั้นๆของผมสำหรับหุ้นสองกลุ่มนี้ก็คือ “มันเป็นธุรกิจที่ดีจนถึงวันที่มันเจ๊งดังนั้น หากจะลงทุนในหุ้นสองกลุ่มนี้ก็คงต้องพิจารณาและติดตามว่ามันจะมีโอกาสที่จะเจ๊งไหม ทั้งจากเรื่องของภาวะเศรษฐกิจและเรื่องของตัวบริษัทในด้านของการบริหารงานภายใน และนำมาเทียบกับราคาหุ้นที่จะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนที่เราจะได้จากการลงทุน
หุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์นั้น ความเสี่ยงอยู่ที่การเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งจะทำให้บริษัทแต่ละแห่งสามารถคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นได้อย่างอิสระ นี่จะทำให้รายได้หลักของโบรกเกอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากจะมีโบรกเกอร์บางแห่งที่มีลูกค้าและคำสั่งซื้อขายหุ้นน้อยเสนออัตราค่านายหน้าในอัตราที่ต่ำเพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามาซื้อขายหุ้นกับตนเอง เมื่อคู่แข่งถูกตัดราคาค่าบริการ เขาก็จะต้องเสนอราคาที่ต่ำลงเพื่อรักษาลูกค้า ผลก็คือราคาค่าบริการก็จะต่ำลงเรื่อยๆจนอาจจะเข้าใกล้ศูนย์ในบางกรณี กำไรของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ก็จะลดลงและไม่สามารถคาดได้ว่าจะเป็นเท่าไร นอกจากเรื่องของค่าคอมมิชชั่นแล้ว ก็อาจจะมีบริษัทหลักทรัพย์โดยเฉพาะจากต่างประเทศที่จะมาเปิดให้บริการเพิ่ม ซึ่งก็จะทำให้เกิดการแย่งส่วนแบ่งตลาดของโบรกเกอร์เดิมอีก ดังนั้นนี่คือความเสี่ยงสำคัญที่คาดการณ์ได้ยากสำหรับหุ้นบริษัทหลักทรัพย์
          หุ้นกลุ่มสุดท้ายก็คือ หุ้นของบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต หุ้นในกลุ่มประกันภัยนั้นส่วนใหญ่ก็คือการประกันภัยรถยนต์ ส่วนน้อยและมักจะเป็นเครือของแบงค์จะมีรับประกันภัยบ้านและอสังหาริมทรัพย์อื่นเช่นอาคารและโรงงานต่างๆด้วยในด้านของการประกันภัยรถยนต์นั้น การแข่งขันสูงมาก ทำให้บริษัทส่วนใหญ่มีกำไรที่ไม่ดีนัก บางปีก็ขาดทุน ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นกิจการที่ดีอะไรนัก ส่วนบริษัทประกันภัยที่เป็นเครือของธนาคารนั้น มักจะได้เปรียบเนื่องจากจะได้ลูกค้าที่ถูกส่งต่อมาจากแบงค์ที่ให้เงินกู้และบังคับให้ลูกค้าทำประกันทรัพย์สินที่นำมาจำนองที่มักเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่โอกาสในการเคลมต่ำ ผลก็คือบริษัทเหล่านี้มักจะมีกำไรดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หุ้นก็มักจะไม่ถูก การที่บริษัทเป็นบริษัทในเครือแบงค์ทำให้สามารถขยายธุรกิจไปได้ง่ายโดยทำผ่านพนักงานของแบงค์ที่เรียกว่าแบงค์แอสชัวรันนั่นคือ ให้พนักงานแบงค์เป็นคนช่วยขายให้กับลูกค้าที่มีเงิน การขายทำได้ง่ายเพราะแบงค์มีข้อมูลของลูกค้าครบ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำมากทำให้การชักชวนคนทำประกันชีวิตทำได้ง่ายเพราะผลตอบแทนจากกรมธรรม์ดีกว่าการฝากเงิน อย่างไรก็ตามหุ้นประกันชีวิตมีความเสี่ยงอยู่บ้างเพราะต้องเอาเงินเบี้ยประกันไปลงทุน แม้ว่ามักจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเป็นส่วนใหญ่แต่ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่ เหนือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ผมยังไม่ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ก็คือ ราคาหุ้นนั้นไม่ถูกเลยโดยเฉพาะเมื่อดูจากค่า PB ของหุ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น