วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

ภาพใหญ่-ภาพเล็ก

          เวลามองหรือคิดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ผมชอบเริ่มจากภาพใหญ่หรือภาพรวมทั้งหมดของสิ่งนั้นก่อน ถ้าดูแล้วน่าสนใจผมถึงจะมองต่อไปถึงรายละเอียดหรือภาพเล็กที่อยู่ในภาพใหญ่นั้น เช่นเดียวกัน การคิดที่จะหาหรือกำหนดแนวทางในเรื่องต่างๆ ผมก็จะเริ่มจากยุทธศาสตร์ใหญ่ก่อน ส่วนกลยุทธ์ย่อยๆนั้นจะตามมาภายหลัง เหตุผลของผมก็คือ ผมเชื่อว่าถ้าภาพใหญ่ถูกมองหรือกำหนดถูกต้องแล้วภาพเล็กหรือกลยุทธ์ย่อยอาจจะผิดพลาดบ้างผมก็ยังจะได้รับผลดีอยู่แม้จะน้อยไปบ้าง ตรงกันข้ามถ้าภาพใหญ่ผิดเสียแล้วถึงเราจะดูหรือทำภาพเล็กถูกต้องสมบูรณ์แบบ ผลลัพธ์ก็จะยังไม่ดีพออยู่ดี บางทีการมองที่ภาพใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่อาจจะยากกว่าก็คือ อะไรคือภาพใหญ่
อย่างเรื่องปัจจัยของความสำเร็จในอนาคตของคนหนุ่มสาวอายุ 25-30 ปีที่ยังไม่ได้แต่งงานนั้น คุณคิดว่าภาพใหญ่คืออะไรคนทั่วไปอาจจะคิดว่า การทุ่มเททำงานหนักเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตการงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทให้กับการทำงานมากมายจนลืมไปว่าแท้ที่จริงภาพที่ใหญ่กว่าโดยเฉพาะของผู้หญิงก็คือการมีชีวิตคู่หรือครอบครัวที่ดีดังนั้น ถ้าเราเชื่อว่าชีวิตคู่เป็นตัวกำหนดความสำเร็จหรือความสุขในอนาคตมากกว่าเรื่องงาน เราก็ต้องทุ่มเทให้ความสำคัญกับการหาคู่เท่าๆ กับหรือมากกว่าการทำงานเป็นบ้าเป็นหลังจนลืมไปว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตและมีความสุขมากกว่าถ้าเราได้คู่ที่เหมาะสม บางทีการได้แต่งงานกับคนที่ถูกต้องเพียงครั้งเดียวอาจจะทำให้คนๆหนึ่งสบายไปทั้งชาติได้แม้ว่าเขาหรือเธอจะทำเรื่องอื่นๆไม่ค่อยได้เข้าท่าเลย เหตุผลก็เพราะว่าเรื่องอื่นๆนั้นเป็นภาพเล็กแต่การแต่งงานนั้นเป็นภาพใหญ่
ในเรื่องของการลงทุนนั้นผมคิดว่าเรามีประเด็นของภาพใหญ่มากมายหลายเรื่อง และถ้าเรากำหนดได้ว่าอะไรเป็นภาพใหญ่ได้ชัดเจนและถูกต้อง โอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนก็จะมีสูง เพราะการปฏิบัติของเราจะอยู่ในกรอบที่ถูกต้อง ลองมาดูว่าภาพใหญ่บางส่วนที่ผมคิดมีอะไรบ้าง
ภาพใหญ่เรื่องแรกก็คือ เราต้องคิดว่าภาพใหญ่ในการลงทุนของเราคืออะไรสำหรับผมแล้ว การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น มันคือการเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือเจ้าของธุรกิจ ผมไม่เคยมีเป้าหมายว่าซื้อหุ้นแล้วจะขายเมื่อไรหรือจะกำไรกี่เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาสั้นๆ การคิดว่าเรากำลังเป็นเจ้าของหรือทำธุรกิจในหุ้นที่เราซื้อลงทุนนั้น ช่วยให้ผมคิดถึงสินค้าที่บริษัทผมจะขาย ยอดขาย กำไร และปันผลที่ผมจะได้รับ ความเข้มแข็งของบริษัทและการเจริญเติบโตของธุรกิจ ผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ ฯลฯ ผมคิดว่าเหล่านี้คือภาพใหญ่ ในขณะที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปกี่เปอร์เซ็นต์และการที่บริษัทจะมีข่าวดีหรือกำไรจะเพิ่มขึ้นในไตรมาศหรือปีหน้าเท่าไร เหล่านี้เป็นภาพเล็กที่เราไม่ควรเริ่มต้นมองและหมกมุ่นกับมันมากเกินไปก่อนที่จะดูที่ภาพใหญ่ว่านี่คือธุรกิจที่เราต้องการเป็นเจ้าของหรือไม่?
ภาพใหญ่เรื่องที่สองก็คือ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการลงทุนของเราคืออะไรในความคิดผมก็คือ การลงทุนของเราน่าจะเพื่อให้เม็ดเงินของเราเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงโดยที่ความเสี่ยงในการที่เงินต้นจะลดลงมีน้อยมาก เป้าหมายหลักก็คือการสร้างความมั่นคงและอิสรภาพทางการเงินในระยะยาวของเรา เพราะด้วยวัตถุประสงค์หลักแบบนี้จะทำให้เราเพิ่มพอร์ตโฟลิโอของหุ้นตลอดเวลาในขณะที่จะมีการกระจายการถือครองหุ้นอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยง เช่นเดียวกับการเลือกถือหุ้นที่มีความเสี่ยงในการลดค่าลงต่ำ ตรงกันข้ามถ้าเราไม่มีภาพใหญ่ของวัตถุประสงค์ของการลงทุนเราก็อาจจะเข้ามาซื้อขายหุ้นลงทุนเป็นครั้งคราวและพยายามทำกำไรเป็นค่าขนมหรือเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในลักษณะของการเก็งกำไรเป็นช่วงๆ ซึ่งลักษณะนี้เป็นเรื่องของการมองภาพเล็กของภาวะตลาดหุ้นและการซื้อขายในช่วงสั้นๆซึ่งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จจะมีน้อย
ภาพใหญ่เรื่องที่สามก็คือเรื่องของความเชื่อและการปฏิบัติตามที่ควรจะเป็น ตัวอย่างของความเชื่อมีมากมาย เช่น ภาพใหญ่ของผมก็คือ ผมไม่เชื่อการคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้น ดังนั้นผมไม่ศึกษาวิธีการที่จะหาจังหวะเข้าออกจากตลาดเพราะนี่คือภาพเล็กหรือความเชื่อที่ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นผลตอบแทนในระยะยาวสำหรับพอร์ตที่มีขนาดใหญ่พอสมควรจะไม่สามารถทำได้เกินปีละ 20-25% โดยเฉลี่ย นี่ก็คือภาพใหญ่สำหรับผม ดังนั้นถ้าผมลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนปีละ 15-20% ผมจะรู้สึกว่าประสบความสำเร็จสูงมากว่าที่จริง 10-15% ต่อปีผมก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนแล้ว ผมจะไม่พยายามฝืนภาพใหญ่โดยการพยายามหาหุ้นที่อาจจะกระโดดทีเดียวหลายเท่าแต่มีความเสี่ยงสูงเพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนสูงกว่าที่ผมจะทำไหว
          ภาพใหญ่เรื่องสุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือ เรื่องของสไตล์ในการลงทุน ผมคิดว่าตัวเราเองก็ควรจะมีภาพใหญ่นั่นหมายความว่า เมื่อมองตัวเราเองจากภายนอกควรจะรู้หรือบอกได้ว่าเราเป็นนักลงทุนแบบไหน พูดอย่างหยาบๆก็คือ เรามีสไตล์การลงทุนแบบไหน ชอบลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อค หรือแบบก้นบุหรี่ที่ชอบหุ้นที่มีราคาถูกมาก หรือเราชอบหุ้นประเภทวัฎจักรหรือหุ้นที่กำลังฟื้นตัว นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของสไตล์การกระจายการถือครองหุ้นและอื่นๆอีกร้อยแปด ประเด็นก็คือถ้าเรามีสไตล์ชัดเจน การลงทุนของเราก็มักจะสามารถคาดการณ์ได้ ตัวอย่างเช่น ผมเองนั้นจะไม่สนใจหุ้นหลายๆบริษัทที่มีผลการดำเนินงานไม่แน่นอนในอดีตที่ผ่านมา 4-5 ปี แม้ว่าในช่วงปัจจุบันบริษัทจะมีกำไรดีและดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนในช่วงปีหรือสองปีข้างหน้าและหุ้นวิ่งขึ้นมาอย่างโดดเด่นมากและน่าจะโดดเด่นต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อยเป็นปีสาเหตุก็เพราะมันไม่ใช่สไตล์ของผม มันเป็นภาพเล็กที่แม้ว่าผมอาจจะทำกำไรได้ แต่มันก็จะไม่เปลี่ยนภาพใหญ่ในเรื่องการลงทุนและผลตอบแทนของพอร์ตของผม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น