วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

ลู ซิมสัน

ลู ซิมสัน น่าจะเป็นยอดฝีมือในการลงทุนไม่แพ้สุดยอดนักลงทุนเอกของโลกคนหนึ่ง เพราะผลงานการลงทุนของเขานั้นสูงลิ่ว ในช่วงปี 1980 ถึง 1996 พอร์ตที่ ลู บริหารให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึงประมาณ 25% ซึ่งน้อยกว่าผลงานของบัฟเฟตต์เพียง 1% ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่ชื่อของ ลู นั้นเงียบกว่าผลงานมาก เพราะลูเองเป็นคนที่เก็บตัว ที่ทำงานก็อยู่บนภูเขาห่างไกลผู้คน เงินที่บริหารก็เป็นเงินของบริษัทที่ไม่เกี่ยวกับชาวบ้านทั้งหลาย แต่สิ่งสำคัญที่สุดน่าจะอยู่ที่ว่าลูมีหลักการและวิธีบริหารเงินลงทุนคล้ายคลึงกับบัฟเฟตต์มากแทบจะถอดแบบออกมา ทุกอย่างของ ลู จึงถูก คลุม โดยเงาของบัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นนายและมีขนาดใหญ่กว่ามาก
ลู มีคุณสมบัติและวิธีการลงทุนคล้ายๆ กับบัฟเฟตต์ในหลายๆเรื่อง เริ่มตั้งแต่พื้นฐานการเรียนที่จบมาทางด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยระดับไอวีลีคของอเมริกาคือ พรินซ์ตัน ในขณะที่บัฟเฟตต์จบจากโคลัมเบีย ทั้งคู่เป็นนักคิดประสบความสำเร็จด้วยสมองและจิตใจมากกว่าการปฎิบัติ แบบนักบริหาร ทั้งคู่มีความคิดที่เป็นอิสระมากและไม่หวั่นไหวกับความผันผวนของตลาดและสิ่งที่ไม่มีเหตุผลทั้งหลาย ทั้งคู่เป็นนักอ่านตัวยง การอ่านโดยเฉพาะรายงานประจำปีของบริษัทต่างๆที่เขาลงทุนดูเหมือนจะเป็นงานหลักในชีวิตประจำวัน และแน่นอนทั้งคู่เป็น Value Investor โดยจิตวิญญาณ
การลงทุนของคนทั้งสองนั้นมีพื้นฐานแบบเดียวกันเริ่มตั้งแต่การถือหุ้นลงทุนระยะยาวมาก เขาไม่ต้องขายหุ้นเพื่อหาเงินมาลงทุนเพิ่มแต่ใช้เงิน ฟรี ที่ได้มาจากเบี้ยประกันมหาศาลที่ไหลเข้ามาให้เขาลงทุน ทั้งสองเน้นลงทุนในหุ้นน้อยตัว พอร์ตของลูประมาณ 1 แสนล้านบาท ลงทุนในหุ้นหลักๆ เพียงไม่เกิน 10 ตัว เช่นเดียวกับวอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ถือหุ้นน้อยตัวพอๆกันแม้ว่าเม็ดเงินจะมากกว่าเป็น 10 เท่า
ความแตกต่างของการลงทุนระหว่างวอเร็น บัฟเฟตต์ กับ ลู อยู่ที่ว่าการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้นส่วนใหญ่เขาลงทุนซื้อทั้งบริษัท ดังนั้น เขาจึงเป็นเจ้าของและสามารถกำหนดกลยุทธ์โดยเฉพาะทางด้านของการใช้เงินของบริษัทนั้นๆ ได้ ในขณะที่ลูเองซื้อหุ้นเพียงบางส่วนในตลาดหลักทรัพย์แบบนักลงทุนทั่วๆไป แต่ความแตกต่างในข้อนี้อาจจะเป็นเพราะขนาดของเม็ดเงินที่แตกต่างกันมาก แต่ไม่ว่าในกรณีใด หลักการเลือกหุ้นลงทุนดูเหมือนว่าจะไม่แตกต่างกัน นั่นคือกิจการต้องเป็นกิจการที่ดีเลิศสร้างกระแสเงินสดมหาศาล บริหารงานโดยมืออาชีพที่มีความซื่อสัตย์สุจริตสูงและในราคาหุ้นที่ยุติธรรมหรือถูกกว่าพื้นฐาน
หลักการลงทุนของลูสรุปอย่างสั้นที่สุด 5 ข้อได้ดังต่อไปนี้คือ 
ข้อแรก คิดอย่างเป็นอิสระ ไม่เชื่อหรือคิดตามกระแสของคนส่วนใหญ่ พยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ไร้เหตุผลของคนในตลาด
ข้อสอง ลงทุนในกิจการที่ทำกำไรได้ดีที่บริหารเพื่อผู้ถือหุ้น เขาเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นจะสะท้อนผลตอบแทนที่บริษัททำได้จากเงินลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น ในด้านของการบริหารเพื่อผู้ถือหุ้นนั้น ลู จะมองในหลายเรื่อง เช่น ดูว่าผู้บริหารถือหุ้นในบริษัทมากน้อยแค่ไหน ผู้บริหารซิกแซกกับผู้ถือหุ้นหรือไม่ ผู้บริหารพร้อมและเต็มใจที่จะขายกิจการที่ไม่ทำกำไรทิ้งไหม และประเด็นสำคัญมากที่สุดอีกข้อหนึ่งก็คือ ผู้บริหารใช้เงินที่เหลืออยู่ไปซื้อหุ้นคืนหรือไม่ เพราะ ลู เห็นว่าผู้บริหารจำนวนมากชอบนำเงินไปขยายงานในสิ่งที่ไม่ทำกำไรแทนที่จะซื้อหุ้นคืน ซึ่งสามารถสร้างคุณค่าให้กับบริษัทมากกว่า
ข้อสาม ซื้อเฉพาะหุ้นที่มีราคาเหมาะสมเท่านั้น ลูบอกว่า แม้แต่ธุรกิจที่ดีที่สุดในโลกก็ไม่ใช่การลงทุนที่ดีถ้าราคาหุ้นสูงเกินไป ข้อมูลที่ ลู ใช้เพื่อดูว่าหุ้นแพงเกินไปหรือไม่ก็คือกำไรต่อราคาหุ้นของบริษัทหรือค่า EP เปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่ไม่มีความเสี่ยงเลยนั่นคือผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ข้อสี่ ลงทุนระยะยาว ลู เห็นว่าในระยะสั้นการคาดการณ์เป็นเรื่องยาก ดังนั้นไม่ควรซื้อๆ ขายๆ หุ้นซึ่งจะทำให้เสียค่าคอมมิชชั่นและภาษี วิธีที่ดีที่สุดก็คือถือหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยม บริหารโดยคนที่ดีในราคาหุ้นที่ยุติธรรม โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยจะมีมาก
          ข้อห้า อย่ากระจายความเสี่ยงมากเกินไป นักลงทุนจะไม่สามารถทำผลตอบแทนที่งดงามได้โดยการกระจายการถือหุ้นไปมากๆ ยิ่งกระจายมากผลตอบแทนก็จะลดลง ลู เห็นว่าหุ้นหรือกิจการที่ดีเยี่ยมนั้นหายากมาก ดังนั้นถ้าเขาเชื่อว่าเขาพบเขาจะทุ่มซื้อหุ้นตัวนั้นจำนวนมาก หุ้นในพอร์ตของลูที่ใหญ่ที่สุด 5 ตัวนั้นมีค่ามากกว่า 50% ของพอร์ตรวมของเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น