วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

คุณภาพ VS ราคา

หลักการเลือกหุ้นที่จะลงทุนนั้น ถ้าจะพูดกันอย่างง่ายที่สุดก็คือ ซื้อหุ้นที่มีคุณภาพสูงในราคาต่ำ การดูว่ากิจการไหนคุณภาพดี และหุ้นไหนราคาถูก เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยุ่งยากมาก
โดยทั่วไปเวลาพูดถึงคุณภาพ เราก็มักจะพูดถึงฝีมือในเรื่องของ การผลิต การตลาด การบริหาร และอื่นๆอีกมาก วิธีหนึ่งที่จะดูว่ากิจการมีคุณภาพแค่ไหนก็คือการดูผลลัพธ์ทางการเงินที่ผ่านมา และตัวเลขที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งที่จะบ่งบอกถึงคุณภาพก็คือ การทำกำไรของบริษัท  กิจการที่มีคุณภาพดีควรจะมีกำไรสม่ำเสมอไม่ใช่ขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่ไม่ใคร่ได้ นี่เป็นคุณสมบัติเบื้องต้นที่สำคัญมาก วิธีการดูก็คือ จะต้องดูข้อมูลกำไรย้อนหลังไปอย่างน้อย 5 ปี ถ้ากำไรมีความผันผวนมากปีต่อปี ก็อาจจะเป็นเครื่องชี้ว่าคุณภาพของกิจการอาจจะยังไม่ดีพอ ยิ่งถ้ามีการขาดทุนสลับด้วยก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่ากิจการนั้นยังไม่ใคร่มีคุณภาพ นี่เป็นตัวชี้เบื้องต้น
เครื่องชี้คุณภาพตัวสำคัญต่อมาก็คือ การเจริญเติบโตของกำไร นั่นคือ ถ้ากำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นส่วนใหญ่ และมองย้อนหลังไปหลายๆ ปี กำไรในวันนี้สูงกว่ากำไรเมื่อ 3 ปี หรือ 5 ปีที่ผ่านมามาก นี่ก็แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีการเติบโต และถ้ากำไรของบริษัทนั้นมีการเติบโตสม่ำเสมอ คือเติบโตขึ้นทุกปีและดูเหมือนจะเติบโตขึ้นเกือบทุกไตรมาศ เราก็อาจจะได้พบกับหุ้นที่ โตอย่างแท้จริงและเป็นบริษัทที่มีศักยภาพที่จะเป็นบริษัทที่มีคุณภาพสูง แต่นี่ก็ยังไม่พอที่จะสรุปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ต้องดูข้อมูลต่อไป
การที่จะบอกว่าบริษัทมีคุณภาพดีเยี่ยมนั้น กำไรของบริษัทจะต้องมากพอเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ใช้ไปด้วย เพราะถ้ามีกำไรเพิ่มตลอดแต่ต้องลงทุนเพิ่มขึ้นมาก กำไรนั้นก็ไม่มีประโยชน์ ตัวเลขที่จะดูว่าบริษัทมีกำไรดีหรือไม่นั้นมีหลายตัว แต่ที่ดูง่ายที่สุดก็คือ กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ ROE ของบริษัท ถ้า ROE ของบริษัทที่ผ่านมาส่วนใหญ่อยู่ในหลักประมาณตั้งแต่ 15% ขึ้นไปก็ถือว่าอยู่ในอัตราใช้ได้ ยิ่งมากขึ้นไปก็ยิ่งดี
ข้อมูลเกี่ยวกับการเงินอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยชี้ให้เห็นถึงคุณภาพของกิจการเพิ่มเติมที่น่าสนใจก็คือ ฐานะทางการเงิน โดยเฉพาะในเรื่องของหนี้สินที่เป็นเงินกู้ยืมของกิจการ ถ้ากิจการมีหนี้สินมาก คุณภาพก็อาจจะต้องปรับลงมา ถ้ากิจการมีฐานะเงินสดสูงซึ่งอาจจะเนื่องมาจากเรื่องของกำไรที่สูงมาก หรืออาจจะเนื่องจากธรรมชาติในการทำธุรกิจของกิจการที่มีการขายสินค้าได้เงินมาก่อนการต้องจ่ายค่าสินค้าให้กับซัพพลายเออร์มาก นี่ก็จะเป็นคะแนนบวกต่อคุณภาพของกิจการด้วยเช่นกัน
เมื่อสรุปปัจจัยทางด้านคุณภาพของกิจการเสร็จแล้วว่าเป็นกิจการที่มีคุณภาพดีมาก ดี ปานกลาง และคุณภาพต่ำ หน้าที่ต่อไปในการเลือกหุ้นลงทุนก็คือ การดูเรื่องความถูกความแพงของหุ้น ซึ่งข้อมูลที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งก็คือ ค่า ราคาต่อกำไรต่อหุ้น หรือค่า PE ของหุ้น โดยมาตรฐานในสถานการณ์ปัจจุบันก็คือ ค่า PE ที่เกิน 10 เท่าถือว่าหุ้นนั้นมีราคาแพงกว่าค่าเฉลี่ย PE ที่ต่ำกว่า 10 เท่าถือว่าเป็นหุ้นที่มีราคาถูก หุ้นที่มีค่า PE เกิน 20 เท่าถือว่าเป็นหุ้นที่แพงมาก
ค่า ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี หรือค่า PB เป็นข้อมูลอีกตัวหนึ่งที่บอกถึงความถูกความแพง ค่า PB ที่ต่ำกว่า 2 เท่าน่าจะถือว่าหุ้นยังไม่แพง หุ้นที่เกิน 2 เท่าไปมาก เช่นไปถึง 4-5 เท่านั้นจะต้องระวังว่ามันอาจเป็นหุ้นที่แพงเกินไป อย่างไรก็ตาม PB ควรจะเป็นเพียงตัวเลขสนับสนุนและควรใช้เฉพาะในกรณีที่กิจการนั้นอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับกำไรชั่วคราวที่ทำให้การใช้ค่า PE ทำไม่ได้หรือไม่เหมาะสม แต่ในกรณีของบริษัทที่เป็น Holding Company ที่ถือหุ้นในบริษัทอื่นเป็นหลักนั้น PB ก็เป็นตัวสำคัญที่สุด เช่นเดียวกับบริษัทที่มีทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินกิจการหลักมาก ๆ ในกรณีเหล่านี้ ค่า PB ที่เกิน 1 ขึ้นไปก็ถือว่าแพงแล้ว
มีคนจำนวนไม่น้อยคิดว่า ค่า เงินปันผลต่อราคาหุ้น หรือผลตอบแทนเงินปันผล หรือ ค่า DP เป็นตัวที่บอกความถูกความแพงของหุ้นได้ นั่นคือ ยิ่งปันผลตอบแทนสูงหุ้นยิ่งถูก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ค่า DP มักจะเป็นตัวที่ส่งสัญญาณมากกว่าที่จะบอกว่าหุ้นถูกหรือแพง สัญญาณที่ว่านั้นอาจจะเป็นอะไรหลายๆ อย่าง เช่น บริษัทมีเงินสดมาก หรือแม้แต่เป็นสัญญาณ ล่อแมงเม่าก็มี
          เมื่อสรุปได้แล้วว่ากิจการมีคุณภาพอย่างไรและราคาหุ้นถูกหรือแพง เราก็จะตัดสินใจว่าหุ้นตัวไหนน่าซื้อหรือน่าขาย ถ้าเราเจอหุ้นที่คุณภาพดีมากและราคาถูกมาก นั่นก็ไม่มีปัญหาเลย เราควรซื้อและซื้อให้มาก และถ้าเป็นหุ้นที่มีคุณภาพต่ำแต่ราคาสูงเราก็ควรจะรีบขาย ประเด็นอยู่ที่ว่า เราเจอหุ้นที่ดีแต่ราคาแพง หรือเจอหุ้นที่คุณภาพต่ำแต่ราคาถูก การตัดสินใจก็จะยาก แต่นี่คือศิลปในการลงทุน และมักจะเป็นสิ่งที่แยกแยะคนที่ประสบความสำเร็จและคนที่ล้มเหลว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น