วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

ก.เอ๋ย ก.ไก่

หุ้นในกลุ่มธุรกิจการเกษตรและอาหารที่เกี่ยวข้องเป็นหุ้นที่มีผลงานไม่ดีนัก และมักให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ทั้งที่ประเทศไทยและบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งมีความสามารถในการแข่งขันสูงในตลาด และบางบริษัทเป็นผู้นำและมีเทคโนโลยีในระดับโลก
ข้อด้อยของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรนั้นก็คล้ายๆ กับเกษตรกรนั่นคือ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับพืชผลและสัตว์ซึ่งมีชีวิตนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรทางธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมากมายและไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้คนที่เกี่ยวข้องประสบกับความไม่แน่นอนสูง บางช่วงเวลาก็ดี แต่บ่อยครั้งก็เกิดความเสียหายรุนแรงไม่ว่าเกษตรกรหรือบริษัทจะเก่งแค่ไหน ลองมาดูว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้างที่อาจจะเข้ามากระทบทำให้ธุรกิจการเกษตรเสียหาย และทำให้หุ้นที่อยู่ในกลุ่มตกต่ำลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
เรื่องแรกซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำและไม่สามารถคาดการณ์ได้ก็คือ เรื่องของธรรมชาติ เช่น ภาวะฝนแล้ง ซึ่งจะกระทบกับผลผลิตของพืชทำให้บริษัทขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ประสบกับปัญหานี้อยู่บ่อยๆ ก็เช่น ผู้ผลิตสับปะรดซึ่งต้องอาศัยฝนธรรมชาติเป็นหลัก
เรื่องที่สองซึ่งนับวันจะรุนแรงมากขึ้นก็คือเรื่องของโรคติดต่อในสัตว์ เช่น โรคไข้หวัดนก โรคในกุ้ง โรควัวบ้า และอื่น ๆ ทุกครั้งที่เกิดขึ้นก็จะกระทบตั้งแต่เกษตรกรไปถึงผู้ผลิตและจัดจำหน่ายซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนถ้ามีถึงแม้ว่าโรคนั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นกับฟาร์มของบริษัท ทั้งนี้เพราะเมื่อเกิดโรคขึ้น ผู้บริโภคก็มักจะเลี่ยงที่จะบริโภคสัตว์ชนิดนั้น ผู้นำเข้าจากต่างประเทศก็มักจะประกาศห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์นั้นทั้งหมด
          เรื่องต่อมาก็คือการใช้สารเคมีหรือยารักษาโรคสัตว์ซึ่งมากเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด หรือใช้สารเคมีต้องห้ามทำให้ประเทศผู้นำเข้าห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์นั้น ยกตัวอย่างเช่นกรณีการใช้ยาไนโตรฟูแลมในการเลี้ยงกุ้งเพื่อป้องกันโรคซึ่งทำให้ประเทศในยุโรปใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันกุ้งจากไทย
เรื่องต่อมาก็คือ การถูกกีดกันจากประเทศผู้นำเข้าด้วยข้อหาว่าประเทศไทยไป ทุ่มตลาด โดยการขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนของเกษตรกรของเขา สิ่งที่เขาทำก็คือการขึ้นภาษีสินค้าจากไทยจนทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ และนี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้กุ้งของไทยไม่สามารถส่งออกไปขายได้เท่าเดิม
เรื่องที่ห้าก็คือ ผลกระทบที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐซึ่งบริษัทในกลุ่มธุรกิจการเกษตรไม่สามารถควบคุมได้ แต่ต้องถูกกระทบค่อนข้างรุนแรงเพราะบริษัทเหล่านั้นมักเป็นผู้ส่งออกที่กำหนดราคาขายเป็นเงินดอลลาร์ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้น การขายสินค้าก็ยากขึ้น กำไรก็มักจะลดลงเพราะต้นทุนของสินค้านั้นอิงกับเงินบาทเกือบ 100% ปีนี้คงไม่ใช่ปีของกลุ่มเกษตรเพราะค่าเงินบาทแข็งขึ้นเรื่อยๆ และค่าเงินนี้กระทบกับบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเกษตรส่วนใหญ่ที่มักเป็นผู้ส่งออก
          ผมคงไม่พูดถึงเรื่องที่หกหรือเรื่องต่อๆไปที่มีโอกาสเกิดขึ้นและกระทบทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับเกษตรเกิดความเสียหายรุนแรงได้เช่นเรื่องของราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดโลกที่มักจะมีช่วงตกต่ำอย่างรุนแรงเป็นครั้งเป็นคราว เพียงแต่อยากจะชี้ให้เห็นว่าโอกาสที่เรื่องเลวร้ายจะเกิดกับธุรกิจการเกษตรนั้นมีสูงกว่าธุรกิจอื่นมาก ดูๆแล้วก็น่าเห็นใจทั้งคนที่เป็นเกษตรกรและบริษัทที่ทำธุรกิจการเกษตร ดูเหมือนว่ามรสุมรุนแรงจะต้องเกิดขึ้นทุกๆระยะเวลาหนึ่งอาจจะเพียงแค่ 3 – 4 ปี การเกิดขึ้นแต่ละครั้งทำลายความมั่งคั่งของผู้เกี่ยวข้องอย่างรุนแรง บางทีถึงกับหมดตัวล้มละลาย คนที่แข็งแรงหรือยังรอดอยู่ได้ก็จะสู้ต่อไปไม่หนีไปไหน อาจจะเป็นความเคยชินที่ต้องประสบกับความยากลำบากมาตลอดเวลาอันยาวนาน อาจจะเป็นความรักที่จะทำแม้รู้ว่าอนาคตของอาชีพหรือธุรกิจนี้ไม่ได้สดใสนัก
          สำหรับ Value Investor แล้ว การลงทุนในหุ้นกลุ่มเกษตรจำเป็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และที่สำคัญมากที่สุดก็คือหุ้นที่ซื้อลงทุนจะต้องมี Margin of Safety หรือมีความปลอดภัยสูง นั่นคือควรจะมีค่า PE และ PB ต่ำและไม่ใช่เป็นค่า PE ที่คำนวณจากกำไรในปีที่บริษัททำกำไรได้มากกว่าปกติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น